การเลือกตั้ง ค.ศ. 1937 และรัฐบาลของโกกา ของ คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย

คอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานู พร้อมกับเหล่าสาวกหรือผู้ติดตามจากกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กใน ค.ศ. 1937

ในฤดูร้อนใน ค.ศ. 1937 กษัตริย์คาโรลเสด็จปารีส พระองค์กล่าวต่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ยีวอน เดลโบส ว่า ระบอบประชาธิปไตยของโรมาเนียคงถึงจุดสิ้นสุด[50] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1937 คอร์เนลิว เซลีอา คอดรีอานูแห่งกองกำลังอัครทูตสวรรค์มิคาเอลได้กล่าวสุนทรพจน์ในการลงสมัครเลือกตั้งในเดือนธันวาคม เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส เขากล่าวว่า "เลือกข้าพเจ้า เพื่อนโยบายต่างประเทศโรมาเนียร่วมกันกับโรมและเบอร์ลิน เลือกข้าพเจ้า เพื่อก่อการปฏิวัติแห่งชาติต่อต้านลัทธิบอลเชวิก ภายในสี่สิบแปดชั่วโมงกองกำลังเราจะได้ชัยชนะ โรมาเนียจะเป็นพันธมิตรกับโรมและเบอร์ลิน"[51] คอดรีอานูได้ทิ้งสุนทรพจน์อันนำมาซึ่งฝันร้ายของกษัตริย์คาโรล พระองค์ทรงยืนยันเสมอว่าจะทรงควบคุมนโยบายต่างประเทศของรัฐเองซึ่งเป็นพระราชอำนาจพิเศษที่ไม่มีใครเข้าแทรกแซงได้[52] แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต้องมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี แต่ในทางปฏิบัติของโรมาเนีย รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศมักจะรายงานโดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ คอดรีอานูได้ล้ำเส้นพระราชอำนาจในสายพระเนตร ทำให้ในเวลาต่อมา กษัตริย์คาโรลทรงมุ่งมั่นที่จะกำจัดคอดรีอานู ผู้หยิ่งผยองพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามของเขาที่กล้าท้าทายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์[52] ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคม ค.ศ. 1937 พรรคเสรีนิยมแห่งชาติของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีจีออร์เก ตาตาเรสคูได้ที่นั่งมากที่สุดในรัฐสภา แต่มีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 40 ทำให้ไม่สามารถกุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้[53] หลังจากการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีดูคาใน ค.ศ. 1933 กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กถูกสั่งห้ามเข้าร่วมการเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตร คอดรีอานูจึงจัดตั้งพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิ เพื่อเป็นแนวหน้าของผู้พิทักษ์เหล็ก พรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 16 ในการเลือกตั้งปี 1937 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก

นายกรัฐมนตรีอ็อกเตเวียน โกกา ราว ค.ศ. 1938

ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1937 กษัตริย์คาโรลทรงใช้พระราชอำนาจแต่งตั้งนักกวีผู้มีแนวคิดต่อต้านชาวยิวอย่างรุนแรง คือ อ็อกเตเวียน โกกา จากพรรคคริสเตียนแห่งชาติ ซึ่งได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเพียงร้อยละ 9 ให้ดำรงเป็นนายกรัฐมนตรี กษัตริย์คาโรลทรงแต่งตั้งโกกาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เพราะพระองค์หวังว่านโยบายการต่อต้านชาวยิวของโกกาจะทำให้พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เลือกพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิและเพื่อทำให้กองกำลังอัครทูตอ่อนแอลง พระองค์ทรงหวังว่าโกกาจะไม่มีความสามารถในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันนำมาซึ่งวิกฤตที่จะเปิดทางให้พระองค์ยึดอำนาจได้[54] กษัตริย์คาโรลทรงบันทึกในพระอนุทินส่วนพระองค์ว่า โกกานั้นโง่เขลาและน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน และเมื่อโกกาล้มเหลวจะทำให้พระองค์ "มีอิสระที่จะใช้มาตรการที่แข็งกร้าว ซึ่งจะปลดปล่อยตัวข้าเองและประเทศจากพวกเผด็จการพรรคการเมือง"[54] กษัตริย์คาโรลทรงเห็นชอบต่อคำกราบทูลของโกกาที่ให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1938 ด้วยเขาเป็นผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นลำดับที่สี่ในรัฐสภา เหมือนเป็นที่แน่นอนว่ารัฐบาลโกกาจะพ่ายแพ้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อรัฐสภารวมตัวกันทั้งพรรคเสรีนิยมแห่งชาติ พรรคเกษตรกรแห่งชาติและพรรคทั้งมวลเพื่อปิตุภูมิ ร่วมกันต่อต้านโกกาแม้ว่าจะมีเหตุผลที่แตกต่างกัน การเลือกตั้งเริ่มต้นจากความรุนแรงด้วยการทะเลาะวิวาทในบูคาเรสต์ระหว่างกองกำลังกึ่งทหาร ลานเชรีของโกกากับกลุ่มผู้พิทักษ์เหล็ก นำมาซึ่งผู้เสียชีวิตสองคน บาดเจ็บ 52 คน และมีคนถูกจับกุม 450 คน[55] ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1938 จึงเป็นการเลือกตั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โรมาเนีย กลุ่มผู้พิทักษ์เหล็กและกองกำลังลานเชรีต่อสู้กันตามท้องถนนในขณะที่แสวงหาความชอบธรรมในการต่อต้านชาวยิวไปด้วย[55] ในขณะที่รัฐสภาก็ไม่ได้มีการประชุมในรัฐบาลของโกกา ซึ่งโกกาจะต้องผ่านกฎหมายด้วยพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่กฎหมายทุกฉบับจะต้องมีการลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์

นโยบายต่อต้านชาวยิวที่รุนแรงของโกกาทำให้ ชนกลุ่มน้อยชาวยิวยากลำบาก และนำไปสู่การร้องเรียนต่อรัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาว่า นโยบายของโกกาจะเป็นการขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรมาเนีย[56] ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาไม่มีความประสงค์ที่จะรับผู้อพยพชาวยิว อันเนื่องมาจากกฎหมายต่อต้านชาวยิวของรัฐบาลโกกา และรัฐบาลทั้งสามชาติกดดันกษัตริย์คาโรลให้ทรงใช้พระราชอำนาจปลดโกกาออกจากตำแหน่งเพื่อเป็นหนทางแก้ไขวิกฤตทางมนุษยธรรม[56] เอกอัครราชทูตอังกฤษคือ เซอร์เรจินัลด์ โฮอาเรและเอกอัครรัฐทูตฝรั่งเศส คือ เอเดรียง แตร์รี ได้เสนอบันทึกประท้วงรัฐบาลต่อต้านยิวของโกกา ในขณะที่ประธานาธิบดีรูสเวลต์แห่งสหรัฐอเมริกาเขียนสาส์นถึงกษัตริย์คาโรลวิจารณ์ถึงนโยบายต่อต้านชาวยิว[36] ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1938 โกกาประกาศถอดชาวยิวทั้งหมดออกจากการเป็นพลเมืองของประเทศโรมาเนีย และเตรียมไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการขับไล่ชาวยิวออกจากประเทศ โดยส่วนพระองค์แล้วกษัตริย์คาโรลไม่ใช่พวกต่อต้านยิว แต่ตามพอล ดี. ควินลัน นักเขียนชีวประวัติของกษัตริย์ระบุว่า พระองค์"แค่ไม่ทรงแยแส" ต่อความทุกข์ทรมานของราษฎรชาวยิวของพระองค์จากกฎหมายต่อต้านชาวยิวของโกกา[57] กษัตริย์นักฉวยโอกาสอย่างกษัตริย์คาโรลไม่ทรงเชื่อในลัทธิต่อต้านยิวแต่ทรงเชื่อในอำนาจ แต่ถ้า เหตุผลของรัฐกำหนดว่าต้องยอมอดทนต่อรัฐบาลต่อต้านยิวเพื่อแลกกับอำนาจ กษัตริย์คาโรลก็ทรงพร้อมที่จะสละสิทธิของราษฎรชาวยิวเพื่อมัน[57] ในเวลาเดียวกัน โกกาพบว่าตัวเขาเองเป็นเลิศในด้านกวีมากกว่าเป็นนักการเมือง และในบรรยากาศของวิกฤตช่วงต้นปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเขาหมกมุ่นแต่การแก้ "ปัญหาชาวยิว" ไวน์แบร์กเขียนถึงโกกาว่า เขา "ไม่พร้อมสำหรับตำแหน่งและไม่มีความสามารถทางผู้นำใดๆเลย..." และเขาดูเหมือนตัวตลกที่กำลังเล่นตลก เขาทำให้นักการทูตในบูคาเรสต์ "ขบขันครึ่งหนึ่ง ตกใจครึ่งหนึ่ง"[36] อย่างที่กษัตริย์คาโรลทรงคาดการณ์ไว้ โกกาเป็นผู้นำที่โง่เขลา เป็นผู้สร้างความน่าขายหน้าแก่ระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่นโยบายต่อต้านชาวยิวที่รุนแรงของเขาทำให้ไม่มีมหาอำนาจชาติประชาธิปไตยอื่นใดเข้ามาขัดขวางการประกาศปกครองระบอบเผด็จการของกษัตริย์คาโรล[56]

แหล่งที่มา

WikiPedia: คาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนีย http://www.sudd.ch/event.php?lang=en&id=ro011938 http://www.historytoday.com/richard-cavendish/deat... http://www.itv.com/presscentre/ep10week14/mr-selfr... http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,8... http://www.cs.kent.edu/~amarcus/Mihai/english/caro... http://www.law.nyu.edu/eecr/vol7num2/feature/ruler... http://pages.prodigy.net/ptheroff/gotha/greece.htm... http://pages.prodigy.net/ptheroff/gotha/romania.ht... http://www.tkinter.smig.net/Romania/References/Car... http://ziua.net/display.php?data=2007-11-29&id=230...